ขั้นตอนการทำ SEO ด้วยตัวเอง ที่เวิร์คในยุค AI [มือใหม่ทำได้]

บทความนี้ ผมขอแชร์ ขั้นตอนการทำ SEO ด้วยตัวเอง ที่สอดคล้องกับยุค AI Search แชร์ตั้งแต่พื้นฐาน มือใหม่ก็ทำได้

ทำ SEO 2024 ต้องรู้จัก E-E-A-T

ในปัจจุบัน หากคุณอยากเพิ่มปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ด้วยการทำ SEO เรื่องแรกที่ต้องเข้าใจคือ หลักการของ E-E-A-T

E-E-A-T คืออะไร

E-E-A-T คือ ตัวย่อของคำสี่คำ คือ experience, Expertise, Authoritativeness, และ Trustworthiness โดยแต่ละคำมีความหมายดังนี้

experience : ความมีประสบการณ์ ลงมือปฏิบัติมายาวนาน

Expertise : ความเชี่ยวชาญ รู้ลึก รู้ละเอียด

Authoritativeness : ความมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักในวงการนั้นๆ

Trustworthiness : ความปลอดภัย&น่าเชื่อถือ ข้อมูลในเว็บต้องใช้ได้จริง และ ผู้ใช้งานเว็บต้องได้รับความคุ้มครองในเรื่องของข้อมุลหรือทรัพย์สิน

ซึ่งประวัติโดยย่อของ E-E-A-T มาจาก ปี 2014 กูเกิ้ลเผยแพร่เอกสาร Search Quality Rating Guidelines เอกสารดังกล่าวให้ข้อมูลว่า คอนเทนต์คุณภาพควรมี 3 คุณสมบัติคือ ผู้เขียนมีความเชี่ยวชาญ มีชื่อเสียง และ ข้อมูลน่าเชื่อถือ นั่นคือก็ Expertise , Authoritativeness & Trustworthiness และ ต่อมาปี 2022 กูเกิ้ลเพิ่มคุณสมบัติอีก 1 ข้อ คือ Experience อันหมายถึง เนื้อหาควรมาจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้น

โดยตัวอย่าง Experience คือ หากคุณทำบทความท่องเที่ยว ก็บอกเล่าว่า สิ่งที่คุณเห็นด้วยตาตัวเองคืออะไร แตกต่างกับที่อ่านบนอินเตอร์เน็ตอย่างไร คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง เป็นต้น

E-E-A-T สำคัญต่อการทำ SEO ในปี 2024 อย่างไร

ปี 2024 Google เปลี่ยนแปลงการแสดงผลการค้นหา โดยเรียกว่า Search Generative Experience (SGE)

การแสดงผลแบบ SGE กูเกิ้ลจะแสดงข้อความจำนวน 1-2 ย่อหน้า เนื้อหาจะให้คำตอบกับสิ่งที่คนค้นหา แล้วแทรกลิงก์ของเว็บไซต์ 1 – 2 ลิงก์ ในตำแหน่งที่เห็นได้ง่าย ตัวอย่างตามรูป

ส่วนกลุ่มของลิงก์เว็บไซต์ ที่แสดงในผลค้นหาแบบเดิม จะถูกย้ายมาในตำแหน่งล่างของหน้าจอ

คำถามคือ หาก Google แสดงผลแบบ SGE (ซึ่งคาดว่าใช้แน่) ทำอย่างไรให้ลิงก์ของเว็บเราอยู่ในตำแหน่งที่เห็นง่าย

จากการหาข้อมูลใน blog.google และ developers.google.com/search/blog ซึ่งทั้ง 2 เว็บ เป็นเว็บทางการของกูเกิ้ล ผมพบบทความ “A new way to search with generative AI ” ซึ่งเขียนว่า กูเกิ้ลทราบว่า คนต้องการข้อมูลน่าเชื่อถือ กูเกิ้ลมีมาตรฐานสูงในการตัดสินว่า ข้อมูลใดมีลักษณะ reliable, helpful and high-quality information

เมื่อนำคีย์เวิร์ด “reliable, helpful and high-quality information” มาค้นข้อมูลต่อ พบว่า มีบทความ Creating helpful, reliable, people-first content ให้มูลว่า กูเกิ้ลใช้เกณฑ์ E-E-A-T เพื่อพิจารณาว่า บทความมีลักษณะเป็นตาม 3 คีย์เวิร์ดข้างต้นหรือไม่ ตามรูปข้างล่าง

สรุปคือ ส่วนตัวคิดว่า หากทำเว็บไซต์หรือบทความให้เข้าเกณฑ์ E-E-A-T กูเกิ้ลก็จะตัดสินว่าเป็นบทความซึ่งมีลักษณะ reliable, helpful and high-quality information โอกาสที่บทความปรากฏในตำแหน่งที่เห็นง่าย จึงเพิ่มมากขึ้น

แล้วเราจะนำหลักการ E-E-A-T มาแปลงเป็นขั้นตอนการปฏิบัติในการทำ SEO ยังไง มาดูรายละเอียดกันเลยครับ

ขั้นตอนการทำ SEO Google ด้วยตัวเอง สำหรับมือใหม่ [2024]

หัวข้อนี้ อธิบาย ขั้นตอนการทำ SEO สำหรับมือใหม่ ตั้งแต่ขั้นตอนแรก มีรายละเอียดดังนี้

1. ค้นหาคีย์เวิร์ด

ขั้นตอนแรกของ การทำ SEO ด้วยตัวเอง คือ ค้นหาคีย์เวิร์ด

คีย์เวิร์ด คือคำที่คนใช้ค้นหาใน Google เป็นคำที่สะท้อนข้อมูลที่ผู้ค้นหาต้องการ

ตัวอย่างเช่น หากผมต้องการไปดินเนอร์ที่ร้านในกรุงเทพ ผมข้า Google พิมพ์คำว่า  “ร้านอาหารเย็น กรุงเทพ” คำว่า ร้านอาหารเย็น กรุงเทพ นั่นแหละคือ คีย์เวิร์ด

การค้นหาคีย์เวิร์ดมีวิธีการดังนี้

  1. เริ่มจาก นึกคำสั้นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ให้มากที่สุด เช่น หากผมทำเว็บไซต์เกี่ยวกับ การเล่นหุ้น คำเกี่ยวข้องคือ “สอนเล่นหุ้น , ลงทุนหุ้น , วิเคราะห์หุ้นรายตัว , ราคาหุ้น , กราฟหุ้น”
  2. นำคำสั้นข้างต้นไปใส่ในเครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ด ซึ่งเครื่องมือจะแสดงข้อมูลว่า คำที่เกี่ยวข้องกับเว็บเรา มีคำอะไรบ้าง ดังตัวอย่างรูปข้างล่าง
  1. Download ข้อมูลออกมาเป็น Excel File
  2. พิจารณาข้อมูลใน Excel จากนั้น “จัดกลุ่มคำ” โดยวิธีการจัดกลุ่ม เริ่มจากมองหา “คำหลัก” ที่เป็นคำสั้นๆ จากนั้น คัดคำขยายคำหลัก หรือคำเกี่ยวข้องกับคำหลัก มาจัดกลุ่มไว้ด้วยกัน

    ตัวอย่างเช่น ผมเลือกคำหลัก 4 คำ คือ
    • สอน หุ้น
    • เปิด พอร์ต หุ้น
    • เทรด หุ้น
    • กราฟ หุ้น
  3. จัดกลุ่มคำที่ขยายคำหลัก ผลลัพธ์เป็นรูปตัวอย่างข้างล่าง
  1. หลักจากจัดกลุ่มเสร็จ เราจะได้คีย์เวิร์ดซึ่งเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์เรา เพื่อนำไปกำหนดหัวข้อและเขียนเนื้อหาต่อไป

โดยคุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ keyword research ได้ที่ 

2. ทำโครงสร้างเว็บไซต์

หลังจากได้คีย์เวิร์ดแล้ว ชั้นตอนต่อมาคือ ทำโครงสร้างเว็บไซต์

การทำ โครงสร้างเว็บไซต์ เป็นการกำหนดว่า เว็บเพจไหนมีคีย์เวิร์ดอะไร และแต่ละเว็บเพจมีลิงก์เชื่อมโยงกันอย่างไร

ตัวอย่าง จากหัวข้อที่แล้ว มีคำหลัก 4 คำ คือ

  • สอน หุ้น
  • เปิด พอร์ต หุ้น
  • เทรด หุ้น
  • กราฟ หุ้น

วิธีทำโครงสร้างเว็บ เริ่มจาก ร่างเว็บเพจ จากนั้นเขียนคีย์เวิร์ดประจำเว็บ แล้วร่างลิงก์เชื่อมโยงระหว่างเว็บเพจ ตัวอย่างตามรูป

ประโยชน์ของการทำโครงสร้างเว็บไซต์คือ รู้ว่าแต่ละเว็บเพจมีคีย์เวิร์ดอะไร และ ทำให้ Google Bot เข้าถึงแต่ละเว็บเพจได้ง่าย

3. เขียนเนื้อหาให้ตรงกับ Search Intent

ขั้นต่อไป คือ เขียนเนื้อหาของเว็บเพจ ให้ตรงกับ Search Intent

Search Intent คือ เจตนาของผู้ค้นหา  คนใช้ Google เพราะอยากรู้ข้อมูลบางอย่าง  เราควรทราบว่า  ผู้ค้นหาต้องการทราบอะไร จากนั้นทำเนื้อหาให้สอดคล้องตามนั้น

ประโยชน์ของ Search Intent คือ เมื่อผู้ชมพบข้อมูลที่ต้องการ จะอ่านเนื้อหาจนจบ อาจคลิ๊กชมหน้าเว็บเพจอื่นหรือกดสั่งสินค้าสักชิ้น ส่งผลให้ Google เข้าใจว่า เว็บเพจมีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คนค้นหา โอกาสปรากฏในผลการค้นหาลำดับต้นๆ จึงมีมากขึ้น

 วิธีการหา Search Intent มีดังนี้

  1. พิมพ์คีย์เวิร์ดในช่องค้นหา  จากนั้นพิจารณา “รูปแบบเนื้อหา” ของเว็บซึ่งแสดงหน้าแรก  ถ้าเป็นหน้าขายสินค้า (Sale Page) แสดงว่า เจตนาของผู้ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนี้คือ  พิจารณาซื้อสินค้าหรือบริการ แต่ถ้าเป็นบทความแบบ How to หรือ อธิบาย แสดงว่า ผู้ค้นหาต้องการหาข้อมูล
  2. ดู Google Suggestion เพื่อหาว่า ประเด็นซึ่งคนต้องการรู้คืออะไร ตัวอย่างเช่น  คีย์เวิร์ด “วิธีซักเบาะรถยนต์” มี Google Suggestion ตามรูปข้างล่าง ซึ่งสะท้อนว่า คนต้องการรู้เกี่ยวกับ วิธีขั้นตอนซักเบาะรถยนต์ด้วยตัวเอง

เมื่อรู้ Search Intent ของแต่ละคีย์เวิร์ดแล้ว ก็เขียนเนื้อหาให้สอดคล้องกับ Search Intent ได้เลย

4. สร้าง About US ให้ถูกต้อง

เว็บเพจ About Us คือเว็บเพจที่อธิบายว่า เจ้าของเว็บคือใคร มีประสบการณ์ทำงาน เชี่ยวชาญสิ่งใดบ้าง

ความสำคัญของ About Us คือ Google จะพิจารณาเนื้อหาหน้า About Us แล้วตัดสินว่า เว็บไชต์นี้เข้าเกณฑ์เป็น Expert หรือไม่

วิธีการเขียน About US ที่ดี มีดังนี้

  • เขียนข้อมูลจริง เช่น ชื่อ นามสกุล จริง ที่อยู่ & เบอร์ติดต่อ จริง
  • เล่าผลงานของคุณ เช่น บอกว่าคุณเคยทำยอดขายเพิ่มขึ้น 100% ต่อปี หรือเพิ่มปริมาณคนเข้าเว็บไซต์มากขึ้น 200% สร้าง lead Generation เพิ่มขึ้น 50% เป็นต้น
  • ใส่ Certificate ซึ่งได้จากองค์กรที่น่าเชื่อถือหรือคอร์สอบรม เช่น Google , ISO , etc. (ถ้ามี)
  • มี social proof ซึ่งอธิบายว่า ความรู้หรือสินค้าของคุณส่งผลต่อลูกค้าอย่างไร

5. เขียนบทความ “ประสบการณ์”

นอกจากเขียนเนื้อหาให้เว็บเพจซึ่งถูกระบุคีย์เวิร์ดแล้ว อีกสิ่งที่ควรทำคือ เพิ่ม “บทความแชร์ประสบการณ์” เข้าไปในเว็บไซต์

บทความแชร์ประสบการณ์ เปรียบเสมือนการนำผู้อ่านมานั่งข้างๆตอนคุณลงมือทำ เขาจะรู้ว่า เกิดอะไรขึ้น ปัญหาอุปสรรคคืออะไร คุณแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงยังไงบ้าง

ประโยชน์ของการเขียน “บทความประสบการณ์” อย่างต่อเนื่อง คือ เว็บไซต์จะเข้าเกณฑ์เป็น “Experience Website” ดังนั้นยิ่งสร้างบทความลักษณะดังกล่าวมากเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลดีต่อ SEO เท่านั่้น

ตัวอย่างบทความแบบนี้ ได้แก่ วิธีใช้ ChatGPT เขียนบทความ SEO โดยเนื้อหาบทความบอกเล่าประสบการณ์ใช้ ChatGPT ใช้ Prompt อะไร วิธีเลือกหัวข้อ ผลลัพธ์จริงเป็นอย่างไร

ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ บทความข้างต้น ขึ้นอันดับ 1 ของผลการค้นหาคำว่า “ChatGPT เขียนบทความ” อันเป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่า เรื่องราวการลงมือทำจริงๆ ถือเป็น “ลูกรัก” ของกูเกิ้ล มักได้รับสิทธพิเศษอยู่ในอันดับต้นๆ

6. ใส่คีย์เวิร์ดในเว็บเพจ

หลังจากเขียนเนื้อหาเสร็จ ขั้นตอนต่อไป นำคีย์เวิร์ดไปใส่ในเว็บเพจ ตามตำแหน่งเหล่านี้

  • Title Tag & Meta description
  • URL
  • ชื่อเว็บเพจ | ชื่อบทความ
  • หัวข้อหลัก & หัวข้อย่อย บทความ
  • เนื้อหาบทความ
  • Alt Text ของรูปภาพ

ประโยชน์ของการใส่คีย์เวิร์ดในเว็บเพจคือ  ช่วย Google เข้าใจว่า เว็บเพจมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด เพิ่มโอกาสขึ้นหน้าแรกของผลการค้นหา เพราะยิ่งเว็บเพจไหนเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดซึ่งคนค้นหามากเท่าไหร  โอกาสปรากฏลำดับต้นๆ ยิ่งมากเท่านั้น

7. เขียน Title Tag & Meta description ให้คนอยากคลิ๊กเข้าชมเว็บไซต์

Title Tag คือ ข้อความสั้นที่บอกชื่อของเว็บเพจ เป็น Tag ที่ถูกใส่บริเวณ HTML Header  Title Tag ถูกใช้เพื่อทำให้ Google เข้าใจว่า เว็บเพจนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร

Meta Description คือข้อความที่อธิบายว่า เว็บเพจนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร อธิบายประเด็นไหน ผู้ชมจะได้รับประโยชน์ใดบ้าง

Google จะนำ Title Tag & Meta Description ไปแสดงบนผลการค้นหา  เพื่อเป็นข้อมูลให้คนทราบว่า เว็บเพจหรือบทความนี้ เนื้อหาคืออะไร ให้ข้อมูลประเด็นใดบ้าง

การเขียน Title Tag &  Meta Description  ที่ดี มีหลักการอยู่ 2 อย่างคือ

  • แทรกคีย์เวิร์ดในข้อความ เพื่อให้ Google เข้าใจว่า เว็บเพจนี้เกี่ยวกับอะไร
  • อธิบายสั้นๆ ตรงประเด็นว่า บทความเกี่ยวกับเรื่องอะไร ประโยชน์หรือสิ่งที่ได้จากการอ่าน มีอะไรบ้าง เพื่อจูงใจให้ผู้คนคลิ๊กเข้ามาชมเว็บไซต์

8. ใช้ Heading Tag เป็นหัวข้อ

Heading Tag คือ Tag ที่ใช้เพื่อบอกหัวข้อของเว็บเพจ  มีทั้งหมด 6 ขนาด คือ H1 – H6 มีรายละเอียดวิธีใช้งานดังนี้

  • H1 ใช้งานเป็นชื่อหรือหัวข้อหลักของเว็บเพจ
  • H2 ใช้เป็นหัวข้อรองซึ่งเกี่ยวกับหัวข้อหลัก  อธิบายให้เห็นภาพคือ H2 คือหัวข้อรองของ H1 นั่นเอง
  • H3 – H6  ใช้เป็นหัวข้อรองของ H2 อีกที
  • H1 & H2 ควรเขียนให้มีคีย์เวิร์ดอยู่

ตัวอย่างเช่น ผมเขียนบทความเรื่อง SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรบ้าง  โดยกำหนดชื่อบทความ & หัวข้อดังนี้

หัวข้อหลัก

  • SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรบ้าง

หัวข้อรอง

  • SEO คืออะไร
  • SEO สำคัญต่อธรุกิจออนไลน์ อย่างไร
    • SEO ช่วยเพิ่ม Organic Traffic
    • ช่วยให้คนรู้จักบริษัทจากการพบเห็นบนผลการค้นหา
  • SEO vs SEM แตกต่างกันอย่างไร
  • สรุป

เวลานำหัวข้อข้างต้น มาใส่ในเว็บเพจ  จะใช้ Heading Tag เป็นหัวข้อเรียงดังนี้

  • SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรบ้าง <H1>
    • SEO คืออะไร<H2>
    • SEO สำคัญต่อธรุกิจออนไลน์ อย่างไร <H2>
      • SEO ช่วยเพิ่ม Organic Traffic <H3>
      • ช่วยให้คนรู้จักบริษัทจากการพบเห็นบนผลการค้นหา <H3>
    • SEO vs SEM แตกต่างกันอย่างไร <H2>
    • สรุป <H2>

ข้อดีของการใช้ Heading Tag เป็นหัวข้อ คือ Google จะเข้าใจง่ายว่า เว็บเพจนี้เกี่ยวข้องเรื่องอะไร หัวข้อหลักและย่อยมีอะไรบ้าง เพราะเวลา Google Bot ซึ่งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเว็บเข้าไปยังเว็บเพจ   Bot จะใช้ข้อความใน Heading Tag มาระบุว่า เว็บเพจนี้เป็นเรื่องอะไร มีหัวข้อใดบ้าง 

9. สร้าง Internal link

Internal link คือ การทำลิงก์ (link) เชื่อมระหว่างเว็บเพจในเว็บไซต์เดียวกัน   link ทำให้ผู้ชมเว็บเพจออกไปดูเว็บเพจอื่นๆตามลิงก์ที่สร้างไว้

วิธีสร้าง Internal link ซึ่งถูกหลัก SEO  มีดังนี้

  1. ใส่คีย์เวิร์ดใน Anchor Text  

Anchor Text คือ ข้อความซึ่งใช้เป็นลิงก์เชื่อมโยงระหว่างเว็บเพจ

การสร้าง Anchor Text ซึ่งถูกหลัก SEO  นั้น ควรใส่คีย์เวิร์ดเว็บเพจปลายทางใน Anchor Text เช่น  หากอยากสร้างลิงก์ออกไปยังบทความ “SEO Content คืออะไร” ก็สร้าง Anchor Text เป็น  “SEO Content คืออะไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับนักเขียน”

ข้อดีของการมีคีย์เวิร์ดใน Anchor Text คือ ช่วย Google และผู้ชมเว็บเข้าใจว่า เว็บเพจปลายทางเกี่ยวข้องกับอะไร  โอกาสที่เว็บเพจปลายทางปรากฏในลำดับต้นๆ ของผลการค้นหาจะมีมากขึ้น

  1. ลิงก์ไปเว็บเพจสำคัญ

เว็บเพจสำคัญ คือ เว็บเพจที่ต้องการให้ปรากฏบนผลการค้นหาของกูเกิเล  ปกติ เว็บไซต์มักมีหลายเว็บเพจที่เนื้อหาคล้ายคลึงกัน ควรเลือกหนึ่งเว็บเพจซึ่งเนื้อหาเฉพาะเจาะจงและรายละเอียดครบถ้วน มาเป็นเว็บเพจสำคัญ จากนั้นสร้าง Internal link ไปเว็บเพจนั้น

ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์มี 3 เว็บเพจซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับ “SEO คืออะไร” (สมมุติชื่อ เว็บเพจ A , B และ C )  พิจารณาแล้วเห็นว่า เว็บเพจ A อ่านเข้าใจง่าย เนื้อหาละเอียดครบถ้วน  จึงเลือกเป็นเว็บเพจสำคัญ  จากนั้น เว็บเพจอื่นซึ่งต้องการลิงก์มาบทความ “SEO คืออะไร” ให้ลิงก์มาเว็บเพจ A เท่านั้น ไม่กระจายไป B หรือ C

10. ทำ Core Web Vitals ให้ดี

Core Web Vitals คือ ตัวเลขซึ่งวัดความเร็วในการโหลดและแสดงผลของเว็บไซต์  มีอยู่ 3 ค่าดังนี้

  • LCP : ระยะเวลาซึ่งผู้ชมเว็บไชต์เริ่มเห็นเนื้อหาบนหน้าจอ เริ่มนับตั้งแต่ผู้ชมกด Enter จนมองเห็นเนื้อหาของเว็บเพจ โดย Google กำหนดว่า  LCP ควรน้อยกว่า 2.5 วินาที
  • FID : การวัดความหน่วงของเว็บไซต์ โดยวัดระยะเวลาเมื่อผู้ชมเริ่มคลิกบางสิ่ง (ปุ่ม เมนู ลิงก์) บนเว็บเพจ จนเว็บไซต์ตอบสนอง ตัวอย่างเช่น เมื่อคลิกเมนู เปลี่ยนหน้าเว็บเร็วแค่ไหน
  • CLS : วัดค่าการขยับของ Layout  ค่านี้เป็นตัวสะท้อนว่า เนื้อหาบนจอมีความเสถียร ไม่เลื่อนไปมา  หรือไม่
https://en.ryte.com/wiki/Core_Web_Vitals

ผลลัพธ์ของ 3 ค่าข้างต้นมี 3 อย่าง   อย่างแรก Pass หมายถึง ผ่านเกณฑ์ของ Google  อย่างที่สองและสาม คือ Need Improvement & Poor  ซึ่งหมายถึงต้องแก้ไขบางอย่างเพื่อให้เข้าสู่สถานะ Pass

ทำไม Core Web Vitals จึงส่งผลต่อ SEO  เพราะปัจจุบัน Google ใช้ค่า Core Web Vitals เป็นหนึ่งในปัจจัยเพื่อจัดอันดับ Google จะมองว่า เว็บไซต์ซึ่งเว็บเพจจำนวนมาก ได้ค่า Core Web Vitals เป็น “Pass. นั้น เป็บเว็บที่แสดงเนื้อหาให้คนเห็นอย่างรวดเร็ว สร้างประสบการณ์ดีแก่ผู้เข้าเว็บ จึงมีโอกาสปรากฏในลำดับต้นๆ มากกว่าเว็บเพจที่ได้ค่า ได้ค่า Core Web Vitals เป็น Need Improvement | Poor

11. สร้าง Backlink กลับมายังเว็บไซต์

Backlink คือการสร้างลิงก์จากเว็บไชต์อื่นมายังเว็บไซต์เรา  การสร้าง Backlink จะส่งผลต่อเรื่อง Authoritativeness (ความมีชื่อเสียง) โดยยิ่งมี Quality Backlink มากเท่าไหร่ เว็บไซต์ยิ่งเข้าเกณฑ์ Authoritativeness มากเท่านั้น

วิธีการสร้าง Quality Backlink ให้เข้าเกณฑ์ คือ สร้างลิงก์จากเว็บซึ่งมีคนเข้าชมมาก และเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา เพราะเป็นการส่งสัญญาณบอก Google ว่า เว็บเรามีชื่อเสียงในเรื่องนั้นๆ เว็บอื่นถึงอ้างอิงข้อมูลจากเว็บเราไปเผยแพร่

ตัวอย่างเช่น เว็บเรานำเสนอเรื่อง Search Marketing (Google ADS , SEO) หากได้รับลิงก์จากเว็บซึ่งเกี่ยวกับ SEO และมีคนเข้าเว็บจำนวนมาก จะเพิ่มการเข้าเกณฑ์ Authoritativeness และส่งผลดีต่ออันดับดับเป็นอย่างมาก

โดยผมเคยสร้างลิงก์จากเว็บที่มีคนเข้าชมมาก เกี่ยวข้องกับเว็บหลัก ผลลัพธ์ อันดับของเว็บหลัก เป็นตามรูปข้างล่าง

โดยคุณสามารถดูวิธีสร้างลิงก์ (ภาคปฏิบัติ) ได้ที่

7 วิธีสร้าง Quality Backlink อย่างละเอียด

ทั้งหมดข้างต้น คือ 11 ขั้นตอน การทำ SEO ด้วยตัวเอง ที่สอดคล้องกับยุค AI Search ครับ

สรุป

  • ปี 2024 Google เปลี่ยนรูปแบบการค้นหามาเป็น Search Generative Experience (SGE)
  • ในยุคการค้นหาแบบ SGE หากต้องการให้เว็บปรากฎในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย ให้ทำเว็บผ่านเกณฑ์ E-E-A-T
  • ถ้าต้องการทำเว็บให้เข้าเกณฑ์ E-E-A-T ให้ทำ SEO ด้วย 11 ขั้นตอนข้างต้น ผลลัพธ์ที่ได้ จะเพิ่มโอกาสได้รับ Organic Traffic คนเข้าเว็บไซต์มาชมสินค้า ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจออนไลน์อย่างแน่นอนครับ

บทความ แนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *