SEO คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจของคุณ

บทความนี้ จะอธิบายว่า SEO คืออะไร ช่วยเพิ่มรายได้และกำไรของธุรกิจได้อย่างไร พร้อม วิธีทำ SEO ตั้งแต่ต้นจบ ซึ่งผมเชื่อว่า หลังจากอ่านจบ ผู้อ่านจะเข้าใจ SEO อย่างครบถ้วน พร้อมรู้วิธีทำให้เว็บเว็บไซต์ปรากฏบนลำดับต้นๆ ของผลการค้นหา อันทำให้โอกาสธุรกิจพุ่งทะยานอย่างแน่นอนครับ

SEO (Search Engine Optimization) คืออะไร

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือ การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อเพิ่มการมองเห็นบน Search Engine ช่วยให้เว็บไซต์คุณปรากฏอันดับต้นๆของคำค้นหาซึ่งเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ ยิ่งคนเห็นเว็บใน Google มากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและการเข้าชมแบบออร์แกนิค(ไม่เสียค่าใช้จ่าย) ให้มากขึ้นเท่านั้น

การทำ SEO  เป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่นิยมทำมาก เพราะในประเทศไทย คนเข้า Google มากกว่า 556 ล้านครั้งต่อเดือน ด้วยปริมาณผู้ใช้มหาศาลนี้ หากเว็บไซต์เราปรากฏลำดับต้นๆของคำค้นหาซึ่งเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเรา  จะส่งผลให้คนเห็นและเข้าเว็บมากขึ้น โอกาสขายสินค้า สร้างกำไร ย่อมมากตาม

โดยบทความนี้ ขอใช้ Google เป็นตัวแทนของ Search Engine เนื่องจากเป็น Search Engine ที่ทั่วโลกและคนไทยนิยมใช้มากที่สุด

SEO มีประโยชน์อย่างไรกับธุรกิจออนไลน์

SEO มีประโยชน์ต่อธุรกิจออนไลน์ ใน 3 ประเด็นดังนี้

1. เพิ่มปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยไม่เสียค่าโฆษณา

SEO ช่วยเพิ่มปริมาณผู้เข้าชมเว็บอย่างก้าวกระโดด กลุ่มเป้าหมายจะเห็นสินค้ามากขึ้นและต่อเนื่อง

หากคุณประสบความสำเร็จในการทำ SEO โอกาสทางธุรกิจจะพุ่งเป็นจรวด เพราะ จากสถิติ Google คือ ช่องทางอันดับหนึ่งที่คนใช้ค้นหาข้อมูลสินค้า และ เดือนมกราคม 2024 Google คือเว็บไซต์ที่คนไทยเข้ามากที่สุด จำนวน 885 ล้านครั้งต่อเดือน

ด้วยปริมาณคนใช้มหาศาลนี้ Google เปรียบเสมือนพื้นที่แสดงสินค้าขนาดใหญ่มหึมา มีคนเบียดเสียดยัดเยียดจนเต็มพื้นที่ เพื่อมาหาข้อมูล เลือกซื้อสินค้า หากเว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่ในจุดโดดเด่นเหนือคู่แข่ง ย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจอย่างมาก

2. สร้างความน่าเชื่อถือ เพิ่มโอกาสขายสินค้า

การทำ SEO สร้างความน่าเชื่อถือต่อกลุ่มเป้าหมาย พวกเขาจะรู้สึกว่า คุณคือมืออาชีพผู้ขายสินค้าคุณภาพ

ความน่าเชื่อถือดีอย่างไร ลองจินตนาการคำว่า “Toyota , Honda” ผู้คนจะเชื่อถื่อว่า นี่คือรถยนต์ซึ่ง ทนทาน ซ่อมบำรุงง่าย ขายต่อคล่อง ส่งผลให้ Toyota , Honda อยู่ในตัวเลือกแรกๆของผู้ซื้อรถเสมอ โดยที่ไม่ต้องโฆษณามากมาย นี่แหละพลังของความน่าเชื่อถือ

ทำไม SEO จึงทำสร้างความเชื่อมั่นได้ สาเหตุเพราะ SEO ทำให้คุณส่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์และแก้ปัญหาได้จริงให้กลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น ธุรกิจความงาม หากคนพิมพ์คำว่า “ฟิลเลอร์” แล้วพบบทความของเว็บคุณ แสดงรูปว่า หลังจากใช้ฟิลเลอร์แล้ว หน้าเนียนตึง ริ้วรอยหายไป เหมือนย้อนวัยกลับเป็นสาวใหม่ บอกตำแหน่งที่ควรใช้ แนะวิธีลดความเสี่ยงจากฟิลเลอร์อย่างจริงใจ และข้อมูลจำเป็นอื่นๆ ย่อมทำให้คนที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ รู้สึกมั่นใจว่า คุณคือของจริง โอกาสที่จะใช้บริการกับคุณย่อมมีมากขึ้น

สอดคล้องกับผลวิจัยว่า การทำ SEO ให้อัตราผลลัพธ์ Conversion Rate เท่ากับ 2.1% (B2C) และ 2.6% (B2B) มากกว่าการลงโฆษณาแบบ PPC ที่ ผลลัพธ์ Conversion Rate เท่ากับ 1.2 % (B2C) และ 1.5% (B2B)

3. ค่าโฆษณาถูกลง

SEO ส่งผลต่อเรื่องความถูกแพงของโฆษณา Google ADS นะครับ

เนื่องจาก Google ADS นั้น ราคาต้นทุนต่อ Click ขึ้นอยู่กับค่า Quality Score ยิ่ง Quality Score สูง ราคาต้นทุนต่อคลิ๊กยิ่งต่ำ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Quality Score สูง คือ ยิ่งคนเห็นโฆษณาแล้วคลิ๊กชมมาก Quality Score จะสูงตาม

นักการตลาดออนไลน์ต่างทราบว่า เวลาคนค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า แล้วพบบริษัท (สมมุติชื่อบริษัท A) ปรากฏลำดับต้นๆบนผลการค้นหาบ่อยๆ คนจะรู้สึกว่า บริษัท A คือผู้เชี่ยวชาญ น่าเชื่อถือ คนมักมีแนวโน้มคลิ๊กโฆษณาของบริษัท A มากกว่ากดดูโฆษณาของบริษัทซึ่งผู้คนไม่ค่อยรู้จัก เพราะไม่น่าเชื่อถือ ชวนสังสัยว่า ซื้อสินค้าแล้วจะได้รับของดีหรือไม่

เมื่อคนคลิ๊กชมโฆษณามาก ค่า Quality Score จะสูง ต้นทุนต่อ Click จะต่ำลงด้วย

SEO vs SEM แตกต่างกันอย่างไร

SEM  ย่อมาจาก Search Engine Marketing  คือ การตลาดผ่านเครื่องมือ Search Engine เป้าหมายคือ ดึงดูดคนที่ใช้งาน Search Engine (Google , Bing , etc) ให้เข้ามาดูสินค้าและบริการของธุรกิจ

SEM ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ได้แก่ การค้นหาแบบเสียเงิน (Paid Search) เป็นการโฆษณาแบบจ่ายเงินตามจำนวนคลิก (PPC หรือ Pay Per Click) และการค้นหาแบบออร์แกนิก (Organic Search) เป็นการแสดงผลการค้นหาจากระบบของ Search Engine โดยในส่วนนี้เรียกว่า SEO (Search Engine Optimization) นั่นเอง

SEO vs SEM แตกต่างกันอย่างไร

ความแตกต่างของ SEM กับ SEO คือ SEM ครอบคลุมทั้ง Paid Search & Organic Search ส่วน SEO โฟกัสเฉพาะ Organic Search เท่านั้น โดยคุณสามารถดูความแตกต่างของทั้ง 2 อย่าง แบบละเอียดที่

SEO vs SEM แตกต่างกันอย่างไร เลือกอย่างไรให้ธุรกิจรุ่ง

ธุรกิจอะไรบ้าง ที่ควรทำ SEO

โดยส่วนตัวเห็นว่า ทุกธุรกิจเหมาะและสมควรทำ SEO  เพราะจากการที่ Google คือหนึ่งในเว็บไซต์ที่คนใช้งานมากที่สุดของไทย  ปริมาณการเข้าเว็บมากถึง 885 ล้านครั้งต่อเดือน  เป็นช่องทางอันดับหนึ่งที่คนใช้หาสินค้าและบริการ หากธุรกิจคุณปรากฏในลำดับต้นๆของผลการค้น โอกาสขายสินค้าย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

อย่างไรก็ตาม ถ้าให้เลือกธุรกิจที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำ SEO  ส่วนตัวคิดว่า  มี 2 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจท้องถิ่น

ธุรกิจท้องถิ่น คือ ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับคนที่อยู่ในบริเวณหรือจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง  ตัวอย่างเช่น  โรงพยาบาลสัตว์ในเชียงใหม่  ร้านสปาในขอนแก่น ที่พักในภูเก็ต

เหตุผลที่ธุรกิจท้องถิ่นควรทำ Local SEO  คือ หากว่าที่ลูกค้าคนหาสินค้าหรือบริการในพื้นที่ แล้วเจอธุรกิจคุณ โอกาสทางธุรกิจย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

อีกเหตุผลคือ คู่แข่งด้าน SEO มีน้อย เนื่องจาก Google จะให้โอกาสธุรกิจในพื้นที่ ติดอันดับต้นๆของผลการค้นหา เมื่อคู่แข่งน้อย โอกาสติดอันดับต้นๆจึงมีมาก

ธุรกิจบริการ

ธุรกิจบริการ คือ ธุรกิจที่เสนอบริการซึ่งช่วยแก้ปัญหา หรือ ทำให้ชีวิตคนง่ายขึ้น มีความสุขขึ้น

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจทำความสะอาด ซ่อมบ้าน เสริมความงาม และอื่นๆ

เหตุผลที่ธุรกิจบริการควรทำ SEO เพราะ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ ปิดการขายง่ายขึ้น

เนื่องจาก  ก่อนซื้อ กลุ่มเป้าหมายมักหาข้อมูล เพื่อเปรียบเทียบ หรือ คลายข้อสงสัย ก่อนตัดสินใจ เช่น คนที่อยากฉีดฟิลเลอร์ จะค้นหาข้อมูลว่า ฟิลเลอร์คืออะไร มีกี่ชนิด ข้อดี ข้อเสีย ความเสี่ยง มีอะไร เมื่อได้ข้อมูลครบ ก็จะตัดสินใจซื้อ

การทำ SEO จะช่วยให้ เวลากลุ่มเป้าหมายค้นหาข้อมูล จะเจอเว็บไซต์หรือบทความของธุรกิจเรา ปรากฏในลำดับต้นๆ

ตัวอย่าง เช่น หากธรุกิจเราคือคลินิคเสริมความงาม สินค้าหลักคือ ฉีดฟิลเลอร์   

เราทำ SEO จนบทความของเรา ติดอันดับต้นๆของคีย์เวิร์ด  ฟิลเลอร์คืออะไร , ฟิลเลอร์ ข้อดี , ฟิลเลอร์ ผลลัพธ์

เมื่อกลุ่มเป้าหมายค้นหาข้อมูลของฟิลเลอร์ พวกเขาจะพบบทความของเรา รู้ว่า ฟิลเลอร์คืออะไร ข้อดี ข้อจำกัด คืออะไร เห็นตัวอย่างลูกค้าว่า ฉีดฟิลเลอร์แล้ว ลดริ้วรอย สวยขึ้น สาวขึ้น อย่างไรบ้าง

ว่าที่ลูกค้าย่อมเกิดความเชื่อมั่นว่า เราคือผู้เชี่ยวชาญ สินค้าที่ขายมีคุณภาพ แก้ปัญหาได้ คุ้มราคาที่จ่าย โอกาสซื้อสินค้าจากเราจึงสูงขึ้น

SEO มีข้อจำกัด หรือ ข้อเสียอย่างไร

พูดข้อดีกันเยอะแล้ว แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน ทุกอย่าย่อมมีข้อดีข้อเสีย เรามาดูข้อจำกัดของ SEO กันบ้างดีกว่า

  1. ต้องใช้เวลานาน ประมาณ 3-6 เดือน กว่าจะเห็นผล ระหว่างนี้ ปริมาณ Organic Traffic ของเว็บไซต์ อาจไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

    เหตุผลที่ใช้เวลานาน เนื่องจาก การทำ SEO ต้องดำเนินการหลายสิ่ง เช่น การค้นหาคีย์เวิร์ด การวางโครงสร้างเว็บ สร้างเนื้อหาที่ดึงดูดผู้ชม โปรโมทเว็บไซต์ และอื่นๆ กระบวนการเหล่านี้เปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ออกดอกออกผลในชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลาสักระยะจึงเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ได้
  2. ต้องทำ SEO อย่างต่อเนื่อง SEO เปรียบเหมือนกีฬาเล่นกล้าม หากคุณละเลยการออกกำลังกาย กินอาหารขยะ กล้ามอันสวยงานย่อมเสื่อมหายไป

    การทำ SEO ก็เช่นเดียวกัน คุณต้องอัพเดทเนื้อหาบทความ ให้ทันสมัย มีประโยชน์ต่อผู้คนในยุคปัจจุบัน อย่างต่อเนื่อง

    เพราะหากคุณละเลยการปรับปรุงเนื้อหา กลายเป็นเว็บไซต์โบราณ ที่มีแต่ข้อมุลตกยุค Google อาจมองว่า ข้อมูลเว็บไซต์คุณไม่มีประโยชน์ต่อผู้คนหา จึงไม่ปรากฏในลำดับต้นๆ Organic Traffic อาจลดวูบ ส่งผลเสียต่อธุรกิจออนไลน์ได้

หลักการทำ SEO มีอะไรบ้าง

SEO จะต้องดำเนิน 3 สิ่งหลักดังนี้

On – Page Optimization

Keyword Research คือ การค้นหาว่า กลุ่มเป้าหมายใช้คีย์เวิร์ดใดค้นหาข้อมูล ปัญหาที่พวกเขาเผชิญ สิ่งที่อยากรู้

ตัวอย่างเช่น หากคุณทำเว็บขายรองเท้า Keyword Research ทำให้รู้ว่า กลุ่มเป้าหมายหาข้อมูลรองเท้าแบรนด์ เทรนด์อะไรที่คนสนใจ ซื้อแล้วใช้ในกิจกรรมใด และอื่นๆ

การค้นหาคีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะทำให้รู้ว่า กลุ่มเป้าหมายต้องการอะไร จึงนำเสนอข้อมูลได้ตรงจุดและโดนใจ

Site Structure คือ การวางแผนว่า เว็บเพจมีหัวข้ออะไร นำเสนออะไรบ้าง มีการเชื่อมโยงภายใน ( Internal link) อย่างไร

Site Structure ที่ดี มีประโยชน์ ดังนี้

  • ผู้ชมเว็บจะหาข้อมูลง่าย เข้าถึงประเด็นที่อยากทราบได้อย่างรวดเร็ว เกิดประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บ ไม่หงุดหงิดหัวเสีย
  • Google Bot เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บเพจได้สะดวกและครบถ้วน ส่งผลให้โอกาสติดอันดับในผลการค้นหารวดเร็วว่องไว

SEO Content Creation

SEO Content Creation คือการปรับแต่งเนื้อหาเพื่อเพิ่มโอกาสติดอันดับต้นๆ โดยสิ่งที่ต้องดำเนินการมีดังนี้

  • วิเคราะห์เป้าหมายของการค้นหา (Search Intent)
  • เขียนเนื้อหาให้ตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ เนื้อหาครอบคลุมครบถ้วน ใช้ได้จริง
  • ปรับแต่ง Title Tag & Meta description
  • สร้าง HTML Tag , Internal link ให้ถูกหลัก SEO
  • ใส่ ALT Tag

– Page Optimization คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มโอกาสที่เว็บจะปรากฏบน Search Engine  On – Page เน้นการปรับปรุงองค์ประกอบภายในเว็บไซต์  เช่น  สร้างเนื้อหาเว็บให้มีประโยชน์ ตรงใจผู้คนหา , การสร้าง Internal link ,  กำหนด HTML Tag และอื่นๆ

เป้าหมายของการทำ On – Page คือ ทำให้ Google ทราบว่า เนื้อหาเว็บไซต์มีประโยชน์และเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คนค้นหา  อันเป็นการเพิ่มโอกาส ที่เว็บเราจะปรากฏในลำดับต้นๆ ของผลการค้นหา

Off – Page Optimization

Off – Page คือ การสร้างลิงก์บนเว็บไซต์อื่น เพื่อให้คนคลิ๊กเข้ามาที่เว็บไซต์เรา  ตัวอย่างเช่น การสร้างลิงก์บนเว็บที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์เรา ,  การโปรโมทเว็บบน Facebook หรือ YouTube  , ลงโฆษณาบนสื่อออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น

Off –Page คือ Main Factor ที่ส่งผลต่ออันดับบนผลการค้นหา อย่างมีนัยยะสำคัญ  ยิ่งคุณทำ Off – Page ได้ถูกต้องเท่าไร อันดับบน Google ยิ่งพุ่งกระฉูดเท่านั้น

Off – Page Optimization ต้องดำเนินการดังนี้

Competitor Backlink Analysis : วิเคราะห์คู่แข่งว่า คู่แข่งได้รับ Backlink อะไร จำนวนเท่าไหร่ ลักษณะอย่างไร

Guest Post : เป็นนักเขียนรับเชิญให้เว็บอื่นซึ่งน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเว็บเรา จากนั้นสร้างลิงก์กลับมา

Social Link : สร้างบัญชี Social Media จากนั้นหมั่นโพสบทความเพื่อเพิ่มผู้ติดตาม . บทความที่โพสควรเป็น Web link เพื่อดึงดูดคนมาดูข้อมูลในเว็บไซต์

Digital PR : ประชาสัมพันธ์เว็บคุณในสื่อออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ , You Tube , Tiktok , Twitter (X)

Technical SEO

Technical SEO คือ การตั้งค่า Web Server เพื่อสร้างผลลัพธ์ทาง SEO ที่ดี โดยมีเป้าหมาย 3 เรื่องดังนี้

  • Google Bot เข้าตรวจสอบเว็บเพจได้ครบถ้วนและเข้าใจเนื้อหาถูกต้อง
  • กำหนดเว็บเพจที่แสดงบนผลการค้นหาแบบตามสั่ง
  • เว็บไซต์แสดงผลบนหน้าจดรวดเร็วทันใจ

Technical SEO เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเว็บโหลดช้า คนจะหงุดหงิด หัวเสีย บ๊ายบายจากเว็บ หรือหาก Google Bot ไม่เข้าใจเนื้อหาเว็บเพจ จะทำให้เข้าข่ายเป็น Poor Quality Website โอกาสที่เว็บเราจะติดอันดับต้นๆจึงยากมาก

Technical SEO ต้องทำดังนี้

  • กำหนดค่า indexation เพื่อให้เว็บเพจปรากฏบน Search Engine ตามต้องการ
  • ตรวจสอบและปรับปรุง Core Web Vitals
  • สร้าง Schema markup , Sitemap , Robots txt
  • กำหนด Canonical tags

Report & Conversion Rate Optimize

หลังจากทำ On – Page , Off – Page , Technical SEO แล้ว ขั้นต่อมาคือ จัดทำรายงาน (Report) และเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจ (Conversion Rate Optimize) โดยมีสิ่งต้องทำดังนี้

  • จัดทำ SEO Report เพื่อแสดงข้อมูล Organic Traffic , Impression , Click Through Rate & etc
  • วิเคราะห์ Conversion (เป้าหมายธุรกิจ) จากนั้นปรับปรุง Conversion Rate ให้ดียิ่งขึ้น

โดยเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ได้แก่ Google Search Console , Google Analytics , Looker Studio

ขั้นตอนทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google ด้วยตัวเอง 2024 [มือใหม่ทำได้]

หัวข้อนี้ ผมขอแชร์ขั้นตอนการทำ SEO ด้วยตัวเอง อย่างละเอียด สอนแต่เริ่มต้น จนทำได้ มือใหม่เพิ่งเริ่มก็ทำได้ ดูข้อมูลได้ที่

ขั้นตอนการทำ SEO ด้วยตัวเอง ที่เวิร์คในยุค AI [มือใหม่ทำได้]

SEO จะทำด้วยตัวเองได้ไหม หรือต้องจ้างดี

SEO คือสิ่งที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง จริงอยู่ SEO ต้องทำหลายสิ่ง และคุณอาจไม่เคยทำมาก่อนแต่การทำ SEO ไม่ใช่วิศวกรรมชั้นสูงที่ซับซ้อนและยากต่อการเข้าใจ ขอแค่มีความตั้งใจ คุณก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง

เหตุผลที่คุณสามารถทำ SEO ด้วยตนเองคือ ข้อมูลวิธีทำ SEO ให้สำเร็จ มีเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตแบบฟรีๆ เป็นจำนวนมาก มีทั้งบทความ ,YouTube , กลุ่มเฟสบุ๊ค ข้อมูลเหล่านี้ทำให้คุณเข้าใจวิธีทำ SEO เบื้องต้น และนำไปปฏิบัติเพื่อให้เว็บไชต์ปรากฏในลำดับต้นๆของผลการค้นหาได้

อีกเหตุผลหนึ่ง คือ ประหยัดงบประมาณ การทำ SEO ต้องทำอย่างต่อเนื่อง การจ้างทำ SEO จะทำให้คุณเสียค่าจ้างทุกเดือน จนกว่าจะเลิกจ้างทำ  การลงมือทำด้วยตัวเองจะช่วยประหยัดต้นทุน  กำไรมากขึ้น มีเงินเหลือไปใช้พัฒนาธุรกิจอีกด้วย

สรุป

  • SEO [Search Engine Optimization] คือ การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อเพิ่มการมองเห็นบน Search Engine ช่วยให้เว็บไซต์คุณปรากฏอันดับต้นๆของคำค้นหาซึ่งเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ
  • Organic Traffic คือ ปริมาณคนที่เข้าชมเว็บไซต์โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา เกิดจากการทำ SEO 
  • PPC คือ จ่ายเงินแล้วเว็บไซต์จะปรากฏในบริเวณสุดของผลการค้นหา ทุกครั้งที่คนคลิ๊ก เจ้าของเว็บต้องเสียค่าโฆษณา
  • SEO มีอัตราการ Conversion หรือการสั่งซื้อสินค้า สูงกว่า PPC
  • ทุกธุรกิจเหมาะและสมควรทำ SEO เพราะ Google คือช่องทางอันดับ 1 ที่คนใช้ค้นหาสินค้าและบริการ
  • การทำ SEO ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป และมักให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า

บทความ แนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *