Google Analytics for SEO : วัดผลและเพิ่มผู้ชมด้วย GA Report

บทความนี้ ผมขอแชร์การใช้ Google Analytics for SEO เทคนิคการใช้สุดยอดเครื่องมือฟรี เพื่อวัดผล เพิ่มผู้ชมและรายได้จาก Organic Traffic โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาเพิ่ม มาดูกันเลยครับ

Google Analytics คืออะไร

Google Analytics คือ แพลตฟอร์มวิเคราะห์ “พฤติกรรมผู้ใช้เว็บไซต์หรือแอป” แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้นักการตลาดรู้ว่า คนเข้าเว็บด้วยคำค้นหาอะไร เข้ามาแล้วคลิ๊กชมกี่เว็บเพจ ใช้เวลาบนเว็บไซต์กี่นาที เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้นักการตลาดรู้ว่า ต้องแก้ไข ปรับปรุง ส่วนไหน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการตลาด

ปัจจุบัน เวอร์ชั่นล่าสุดของ Google Analytics คือ Google Analytics 4 ที่ทำงานแบบ Event Base ซึ่งมีข้อดีดังนี้

  • GA4 ใช้วิธีวัดผล event-driven ซึ่งสามารถตั้งค่าได้หลากหลายและละเอียดกว่าแบบ session-base ช่วยให้วัดผลลัพธ์ได้เฉพาะเจาะจงกับธุรกิจ
  • GA4 สามารถแสดงข้อมูลทั้งจาก เว็บไซต์ แอป และแพลตฟอร์มดิจิทัลอื่น รวมอยู่ใน Report เดียวกัน ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจออนไลน์ของคุณคือ ธุรกิจส่งอาหารที่มีทั้งเว็บไซต์และแอป GA4 สามารถรวมข้อมูลทั้งจากเว็บและแอป มาอยู่ในรายงานเดียว ช่วยให้คุณเห็นข้อมูลธุรกิจจากทุกช่องทางได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

ทำไม Google Analytics จึงสำคัญต่อการทำ SEO

Google Analytics คือ 1 ใน SEO Tool ที่สำคัญต่อการทำ SEO ด้วยเหตุผลดังนี้

สร้างประสบการณ์ที่ดี

Google Analytics สามารถแสดงข้อมูล “พฤติกรรมผู้ใช้” อย่างละเอียด เช่น บอกว่า เมื่อคนเห็นเว็บในกูเกิ้ลแล้ว คลิ๊กเข้าชมกี่ครั้ง เข้าเว็บแล้วดูหน้าไหนมากที่สุด มีการคลิ๊กซื้อสินค้ากี่ครั้ง และอื่นๆ

เราสามารถใช้ข้อมูลข้างต้น มาพัฒนาเรื่อง “ประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience)” ให้ดีขึ้น ซึ่ง UX คือหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่ออันดับใน Google โดยยิ่งเราสร้างประสบการณ์ผู้ใช้อันยอดเยี่ยมมากเท่าไร โอกาสติดอันดับต้นๆ ยิ่งมากเท่านั้น

แล้วต้องทำอะไรบ้าง เพื่อทำให้ UX ดีขึ้น ผู้เขียนจะอธิบายอย่างละเอียดอีกครั้งในหัว นะครับ

เพิ่มผลตอบแทนจากการทำ SEO

Google Analytics ช่วยให้นักการตลาดเข้าใจเรื่อง Organic Traffic Behavior อย่างทะลุปรุโปร่ง โดยสามารถตั้งค่าให้แสดงเฉพาะข้อมูลจาก Organic Traffic (ไม่ปะปนกับผู้ใช้จากช่องทางอื่น) ช่วยให้ว่า ผู้ชมจาก Organic Traffic ดูเว็บเพจไหนมากที่สุด มีกี่คนที่เข้าไปยังหน้าสั่งซื้อสินค้า (Landing Page)

เมื่อทราบข้อมูลข้างต้น นักการตลาดจึงสามารถวิเคราะห์ว่า ปัจจุบัน Conversion Rate เท่าไหร่ เมื่อลงมือปรับปรุงหน้าเว็บแล้ว Conversion Rate ดีขึ้น เท่าเดิม หรือ แย่ลง อย่างไร

ดังนั้น Google Analytics จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการทำ SEO เพราะช่วยให้ทราบว่า ปัจจุบัน Landing Page มีค่า Conversion เท่าไหร่ หากปรับปรุง ผลลัพธ์เป็นตามความหวังหรือไม่ จึงช่วยให้ทำงานได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ

วิธีติดตั้ง Google Analytics [Step – By – Step]

วิธีติดตั้ง GA4 มี 7 ขั้นตอน ดังนี้

โดยคุณสามารถอ่านวิธิติดตั้ง Google Analytics อย่างละเอียดที่

บทความแนะนำ : วิธีติดตั้ง Google Analytics แบบ Step – By – Step

Google Analytics Report มีอะไรบ้าง

เมื่อเราเข้าใช้งาน Google Analytics จะปรากฏข้อมูลตามข้างล่าง โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้

  1. Menu : เป็นบริเวณที่ให้เลือกว่า จะดูข้อมูลเกี่ยวกับ “อะไร” เช่น ดูว่า คนเข้าเว็บมาจากช่องทางใด (Ad , Social , Organic) หรือ ดูว่า คนใช้อุปกรณ์อะไร (PC , Notebook , Mobile) ในการเปิดเว็บ เป็นต้น
  2. Report | Chart : แสดงข้อมูลแบบ Visual เช่น Line Chart , Bar Chart or Scatter Chart
  3. Report | Dimension & Metrics : แสดงข้อมูลแบบ “ตัวเลข” โดยบริเวณนี้ จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ Dimension และ Metric

Dimension คือ สิ่งที่ต้องการวัดผล (what) มีลักษณะข้อมูลเป็นตัวอักษร

Metric คือ รายละเอียดเพิ่มเติมของ Dimension มีลักษณะข้อมูลเป็นตัวเลข

Google Analytics  Metric
crcr: https://analytics.google.com/demo-account

จากรูปข้างบน Dimension = แหล่งที่มาของผู้ชม (Session Source) , Metric คือ รายละเอียดของแหล่งที่มาผู้ชม ตัวอย่างเช่น หากเราจะตีความหมายของตัวเลขช่องสี่เหลี่ยมสีส้ม ความหมายคือ ช่องทาง Google (Dimension) มีปริมาณ User (Metric) = 10,006

จะเห็นว่า Metric คือสิ่งที่ขยายรายละเอียดของ Dimension นั่นเอง

เชื่อมต่อ Google Analytics กับ Google Search Console

ในการใช้ Google Analytics เพื่อเพิ่มผลลัพธ์ทาง SEO เราควรเชื่อมต่อ Google Search Console เข้ากับ Google Analytics

การเชื่อมต่อนี้ จะทำให้ Google Analytics แสดงข้อมูล Keyword อันได้แก่ คำที่คนค้นหา , ปริมาณการเห็นเว็บไซต์บน Google , จำนานการคลิ๊กเข้าเว็บไซต์ และอื่นๆ ซึ่งข้อดีคือ ทำให้เรารู้ “พฤติกรรมของผู้เข้าเว็บจาก Organic Traffic” อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงสามารถวัดผลลัพธ์และเพิ่มผลตอบแทบจาก การทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยวิธีเชื่อมต่อ Google Analytics กับ Search Console ดูได้ที่

บทความแนะนำ : วิธีเชื่อมต่อ Google Analytics กับ Search Console

วิธีตรวจสอบ Keyword ด้วย Google Analytics

หลังจากเชื่อมต่อเรียบร้อย ข้อมูล Keyword ที่อยุ่ใน Google Search Console จะแสดงใน Google Analytics โดยวิธีตรวจสอบมีดังนี้

  1. ไปที่ Search Console >> Queries
  2. จะปรากฏ Keyword (คำค้นหา) ซึ่งสร้าง Organic Traffic ให้กับเว็บไซต์ พร้อม Metric ที่ช่วยให้รู้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคีย์นั้น
Google Analytics SEO Keyword

โดยการวัดผลลัพธ์ของการทำ SEO ส่วนตัว ให้ความสำคัญกับ 6 Metric ดังนี้

  1. Organic Google search clicks : จำนวนคลิ๊กชมเว็บไซต์แบบ Organic Search
  2. Organic Google search impressions : จำนวนครั้งที่ปรากฏบนผลการค้นหา
  3. Organic Google search click through rate : อัตราส่วน click / impressions
  4. Average engagement time : เวลาเฉลี่ยที่อยู่ในเว็บเพจ
  5. Bounce Rate : อัตราส่วนของ No Engaged session / Session [ engaged session คือ session ซึ่งเปิดเว็บหรือแอปมากกว่า 10 วินาที หรือ กด key event หรือ ดูอย่างน้อย 2 pageviews or Screen views ]
  6. Key Event : พฤติกรรมผู้ใช้ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจออนไลน์ ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายคือ ลูกค้า “กดปุ่ม Buy Now” เพื่อซื้อสินค้า ดังนั้น “ปุ่ม Buy Now ” คือ Key Event

เมื่อรู้จัก 6 Metric สำคัญแล้ว ต่อมาเรามาดูวิธีใช้ Google Analytics เพื่อการทำ SEO ดีกว่าครับ

4 วิธีใช้ Google Analytics เพิ่มผลลัพธ์ทาง SEO

1. วัดผลและปรับปรุงค่า Click Through Rate (CTR)

CTR คือ อัตราส่วน จำนวนคลิ๊กเข้าเว็บ / จำนวนที่ปรากฏบนผลการค้นหา

ทำไมจึง CTR สำคัญ เพราะ CTR คือค่าสะท้อนคุณภาพของเว็บเพจ หาก CTR สูง จะเหมือนมีแม่เหล็กดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้ง หาก CTR สูง แสดงว่า คนคลิ๊กเข้าชมเว็บมากด้วย

โดยวิธีใช้ Google Analytics Report เพื่อปรับปรุงค่า CTR มีดังนี้

  1. เข้า Google Analytics >>> Report
  2. ไปที่ Search Console >>> Queries >>> จะปรากฏหน้าต่างข้อมูลบนหน้าจอ
  3. หาคีย์เวิร์ดที่เข้าเงื่อนไขดังนี้
    • Average Position มีค่าระหว่าง 3 – 8
    • Click Through Rate มีค่าน้อยกว่า 3%
  4. เงื่อนไขข้างต้น สะท้อนว่า คีย์เวิรด์นี้ เว็บเรา ปรากฏหน้าแรก ปริมาณคนเห็นพอสมควร หากมีแก้ปรับแต่ง ให้ดึงดูดขึ้น โอกาสที่ได้รับ Organic Traffic เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Click Through Rate มากขึ้นตาม
Google Analytics Report Click Through Rate
  1. ตัวอย่างเช่น จากรูปข้างบน คีย์เวิร์ด “google merchandise store” มี average Position = 4.7 , ปรากฏบน Google 5,800 ครั้ง แต่มี Click Through Rate เพียง 0.52% ซึ่งคีย์เวิร์ดลักษณะนี้ ง่ายที่จะปรับแต่งเพื่อให้ CTR เพิ่มขึ้น อันจะเพิ่มปริมาณ Organic Traffic ให้พุ่งขึ้นตาม

เทคนิคการปรับปรุงค่า Click Through Rate (CTR)

วิเคราะห์ว่าความต้องการของผู้คนหาคืออะไร แล้วเขียน Title tag & Meta Des ให้โดนใจ

ตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ด “AI เขียนบทความ” ความต้องการผู้คนหาคือ อยากรู้ว่า AI อะไรบ้าง ที่เขียนบทความได้ราวกับคนเขียนจริงๆ ก็เขียนสอดคล้องตามนั้น

เขียนหัวข้อและคำอธิบายที่กระตุ้นให้ผู้ใช้ทำบางสิ่ง ตัวอย่างเช่น “เรียนรู้วิธีการ” “ค้นพบ” และ “เคล็ดลับที่พิสูจน์แล้ว” ตัวอย่างเช่น “ค้นพบเคล็ดลับ SEO ที่พิสูจน์แล้วสำหรับมือใหม่ เพิ่ม Traffic เว็บไซต์ของคุณวันนี้!”

Schema Markup คือ Code ที่ใส่ในเว็บเพจ Code นี้จะทำให้ Search Engine (Google , Bing) เข้าใจว่า เว็บเพจเกี่ยวกับอะไร และทำให้การแสดงผลของเว็บไซต์บน Search Engine มีความน่าสนใจ เพิ่มข้อมูลแก่ผู้คนหา อันจะดึงดูดให้คนคลิ๊กเข้าชมเว็บไซต์มากขั้น

2. วัดผลและปรับปรุงค่า Bounce Rate

Bounce Rate คือ อัตราส่วนของ No Engaged session / Session

หากค่า Bounce Rate สูง สะท้อนว่า เว็บเพจขาด First Impression อย่างรุนแรง เช่น ไม่เจอสิ่งที่ต้องการ เว็บโหลดช้าจนหงุดหงิด มีโฆษณากวนสายตามากเกินไป เป็นต้น จนคนออกจากเว็บอย่างรวดเร็ว

โดยวิธีดู Bounce Rate ใน Google Analytics 4 ต้องตั้งค่าเพิ่มเล็กน้อย แต่ไม่ต้องกังวลครับ วิธีการตั้งค่าง่ายมาก รายละเอียดดังนี้

  1. เข้า Google Analytics >> Report
  2. เข้า Engagement >> Page and Screen
  3. คลิ๊กที่สัญลักษณ์ Pencil icon ที่มุมขวา จะปรากฏหน้าต่าง Custom Report ขึ้นมา
cr : Bounce Rate in Google Analytics
  1. กด Metrics >> เลื่อนเมาส์มาข้างล่าง จะเจอปุ่ม “Add Metrics”
cr : https://www.youtube.com/watch?v=X9TvsRz4Qb4
  1. จะปรากฏ Metrics ให้เลือก ให้หาและคลิ๊กคำว่า “Bounce Rate”
  2. เมื่อคลิ๊กเสร็จ Bounce Rate จะปรากฏใน Metrics >> กด Apply
  3. ค่า Bounce Rate จะปรากฏในรายงาน เป็นอันเสร็จการตั้งค่า

Bounce Rate เท่าไหร่ ถือว่าดี

เมื่อเรารู้ค่า Bounce Rate ของแต่ล่ะเว็บเพจแล้ว คำถามต่อมาคือ ค่า Bounce Rate เท่าไหร่ ถือว่าดี

อ้างอิงข้อมูลจาก Semrush Good Bounce Rate มีค่าน้อยกว่า 40% , หากเว็บเพจไหน ค่า Bounce Rate > 60 ควรตรวจสอบว่า ทำไม Bounce Rate สูง และหาวิธีแก้ไข

เทคนิคลดค่า Bounce Rate

Page Speed (ความเร็วในการแสดงผลบนหน้าจอ) คือสิ่งที่ส่งผลต่อค่า Bounce Rate มาก หากการแสดงผลบนหน้าจอใช้เวลานาน คนจะหงุดหงิดรำคาญและออกจากเว็บไซต์ ส่งผลให้ค่า Bounce Rate พุ่งสูง

คำถามคือ เราจะรู้ได้ไงว่า เว็บไซต์เราโหลดช้าหรือเร็ว

คำตอบคือ ใช้เครื่องมือ “Google Page Speed Insights” เพื่อตรวจสอบ วิธีการใช้งานดังนี้

  • ไปที่ https://pagespeed.web.dev
  • ใส่ Web Page URL ที่ต้องการตรวจสอบ
  • กด Enter จะปรากฏข้อมูล Page Speed ของเว็บเพจ ตามรูป

ผลลัพธ์ที่ได้จะมี 3 รูปแบบ คือ Poor (สีแดง) , Need Improvement (ส้ม) , Good (เขียว) . หากตรวจสอบแล้วเว็บเพจเป็นสีเขียว สะท้อนว่าความเร็วในการแสดงผลว่องไวไม่ช้า แต่หากตรวจสอบแล้วเป็นสีแดงหรือส้ม ควรรีบปรับปรุงแก้ไข

ลองจินตนาการว่า ถ้าคุณเปิดเว็บไซต์ด้วยมือถือ แล้วพบว่า เนื้อหาบางส่วนหลุดกรอบ ตัวหนังสือไม่สมส่วน ดูไม่สบายตา แน่นอน คุณจะรีบปิดเว็บแทบทันที ส่งผลให้ค่า Bounce Rate ของเว็บนี้ พุ่งสูงด้วย

ดังนั้น ควรแน่ใจว่า เว็บเรามีลักษณะเป็น Mobile Friendly คือ เมื่อแสดงผลบนหน้าจอมือถือแล้ว เนื้อหาพอดีจอ ตัวหนังสืออ่านง่าย ขนาดรูปเหมาะสม ซึ่งจะลดโอกาสเกิดค่า Bounce Rate ขึ้น

Internal link คือการสร้างลิงก์จากเว็บเพจหนึ่ง ไปอีกเว็บเพจหนึ่งภายในเว็บเดียวกัน เมื่อผู้เข้าเว็บกด Internal link Bounce Rate จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การสร้าง Internal link ที่ดึงดูดให้คนคลิ๊ก จะช่วยลดค่า Bounce Rate ได้

เทคนิคการ Internal link ให้คนคลิ๊ก มีดังนี้

  • ลิงก์ไปเว็บเพจที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์

สร้างลิงก์ไปยังเว็บเพจซึ่งเกี่ยวข้องกับคำค้นหาและมีประโยชน์ ตัวอย่างเช่น หากเนื้อหาเว็บเพจเกี่ยวกับการทำ SEO ควรสร้างลิงก์ไปยังเว็บเพจอื่น ซึ่งให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น Keyword Research , Backlink , SEO Report เว็บเพจที่เกี่ยวข้องนี้มักจะดึงดูดให้ผู้อ่านคลิ๊กไปชม เนื่องจากช่วยพวกเขาให้บรรลุเป้าหมายการค้นหานั่นเอง

  • สร้าง Navigation Menu ให้ดึงดูด :

วิธีการสร้าง Navigation Menu ให้ดึงดูด มีดังนี้

ขั้นตอนแรก คือ ค้นหาว่า หัวข้อใดที่กลุ่มเป้าหมายอยากทราบ ตัวอย่างเช่น หากคุณทำเว็บขายเบาะรถยนต์ลวดลายต่างๆ คุณควรทราบว่า ลายอะไรที่คนสนใจ เช่น ลายการ์ตูน ลายฟุตบอล หรือ ลายอื่นๆ

ขั้นตอนสอง สร้างเป็น Menu link โดยใช้ชื่อลิงก์เป็นหัวข้อที่คนสนใจและสื่อความหมายชัดเจน เช่น “ลายการ์ตูน” “ลายฟุตบอล” เป็นต้น

3. วัดผลและปรับปรุงเนื้อหา Content

ปริมาณคนเข้าชม Content เหมือนน้ำทะเล คือ มีขึ้นมีลง บางช่วง จำนวนคนเข้าอาจพุ่งสูง แต่บางช่วง ก็ลดต่ำลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

เราสามารถใช้ Google Analytics เพื่อตรวจสอบว่า Content ไหนมีปริมาณคนเข้าขมลดลง เพื่อจะได้แก้ปัญหาถูกจุด มีขั้นตอนดังนี้

  1. เข้า Google Analytics >> Report >> Search Console >> Google Organic Search Traffic
  2. คลิ๊กวันและเวลาซึ่งอยู่บริเวณมุมขวาบน >> เปิด Compare >> เลือกระยะเวลาที่ต้องการเปรียบเทียบ >> กด Apply
  3. ปรากฏข้อมูลของเว็บเพจในลักษณะเปรียบเทียบ ดังรูปข้างล่าง
  1. มองหาเว็บเพจที่ปัจจุบัน ค่า Average Position & Click ลดลง ค่าลักษณะนี้สะท้อนว่า เนื้อหาของเว็บเพจ หรือ เนื้อหาบทความอาจไม่น่าสนใจ หรือ ไม่มีการอัพเดท
  2. ตัวอย่างเช่น หากคุณเขียนบทความ หัวข้อว่า “หนังน่าดู เดือนนี้” เมื่อเวลาผ่านไป หากเนื้อหายังเป็นหนังของเดือนที่ผ่านมานานแล้ว ผู้อ่านย่อมไม่สนใจและออกจากเว็บเพจอย่างรวดเร็ว ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้อันดับในผลการค้นหาตกลง

วิธีการปรับปรุงเนื้อหาให้กลับไปติดอันดับต้นๆ

Content Audit คือการตรวจสอบ บทความ SEO ว่า มีปัจจัยอะไรที่เปลี่ยนแปลง จนอาจส่งผลให้อันดับบนผลการค้นหาลดลง โดยปัจจัยต่างๆ มีดังนี้

  • เนื้อหาอัพเดทให้สอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบันของคนหรือไม่
  • มีการปรับปรุง Meta Tag & Description หรือไม่
  • Backlink ลดจำนวนลงหรือเปล่า
  • Core Web Vitals แสดงค่า “Poor | Need Improvement”
  • เกิด Keyword cannibalization
  • Other Technical SEO Error

ในการทำ Content Audit จำเป็นต้องใช้ SEO-Tool เครื่องมือในการทำ SEO เครื่องมือเหล่านี้จะแจ้งข้อมูลว่า คอนเทนต์มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง ที่อาจส่งผลให้อันดับในผลการค้นหาลดลง เพื่อให้เจ้าของเว็บแก้ไขได้อย่างถูกจุด

4. วัดผลและปรับปรุงค่า Conversion

หากการทำ SEO เริ่มออกดอกออกผล ปริมาณ Organic Traffic เพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ต้องทำต่อ คือ การวิเคราะห์ค่า Key Event

Key Event คือ พฤติกรรมผู้ใช้เว็บไซต์ที่ทำให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมาย หรือที่เรียกกันว่า Conversion นั่นเอง ตัวอย่างเช่น การกดซื้อสินค้า สมัครสมาชิก กดติดตาม เป็นต้น

มีความเป็นไปได้ว่า ปริมาณ Organic Traffic ของ Landing Page (หน้าเว็บเพจที่ขายสินค้า) เพิ่มขึ้นแล้ว แต่จำนวน Key Event กลับคงนิ่งสนิท ส่งผลให้รายได้หรือยอดผู้ติดตามเว็บไซต์ไม่โตตาม โดยวิธีดูและวิเคราะห์ Key Event มีดังนี้

  1. เข้า Google Analytics >> Report >> Search Console >> Google Organic Search Traffic
  2. คลิ๊กวันและเวลาซึ่งอยู่บริเวณมุมขวาบน >> เปิด Compare >> เลือกระยะเวลาที่ต้องการเปรียบเทียบ >> กด Apply

  1. มองหาเว็บเพจที่ปัจจุบัน ค่า Click & Impression เพิ่มขึ้น แต่ Key Event ไม่เพิ่มหรือเพิ่มขึ้นน้อยมาก ค่าลักษณะนี้สะท้อนว่า ปริมาณคนเข้าชมเว็บเพจมากขึ้น แต่การ Conversion ไม่เกิด เมื่อทราบเว็บเพจแล้ว ให้ปรับปรุงและแก้ไขต่อไป

สรุป

  • Google Analytics คือ 1 ในเครื่องมือที่ใช้ในการทำ SEO เพราะช่วยให้รู้ข้อมูลของ Organic Traffic อย่างละเอียด เพื่อนำไปปรับปรุงผลลัพธ์การทำ SEO ต่อไป
  • การเชื่อมต่อ Google Analytics กับ Google Search Console จะทำให้ข้อมูล Keyword มาแสดงผลใน Google Analytics Report
  • การใช้ Google Analytics เพื่อปรับปรุงเรื่อง SEO มี 4 เรื่องหลัก คือ เพิ่ม Click Through Rate , ลด Bounce Rate , ปรับปรุงเนื้อหาบทความ และ เพิ่มค่า Key Event

บทความ แนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *